ไม่อยาก "คิดมาก" เพราะมัน "เปลืองสมอง"

ที่มาของรูปภาพ: https://www.verywellmind.com/use-walking-meditation-for-stress-relief-3144792
การที่ผมเลือกที่จะมาเป็น "นักเขียน" นี่ถือว่าเป็นงานที่ต้อง "ใช้สมอง" อยู่ตลอดเวลา... 
คิดอยู่ตลอดว่า วันนี้จะเขียนอะไร
คิดอยู่ตลอดว่า วันนี้จะเขียนเกี่ยวกับอะไร
คิดอยู่ตลอดว่า วันนี้จะเขียนเรื่องอะไร
คิดอยู่ตลอดว่า วันนี้จะเขียนอย่างไรให้ดีที่สุด
คิดอยู่ตลอดว่า วันนี้จะเขียนอย่างไรให้คนอ่านเข้าใจในสิ่งที่เราสื่อ...
และปัจจุบันผมกำลังเขียนนิยายเป็นของตัวเองอยู่ และมีครูช่วยสอนช่วยบอก ช่วยแก้ไข...
การเขียนนิยายนี่แหละ เป็นเรื่องที่ต้อง "คิดหนัก" โดยไม่รู้ตัว
คิดว่า จะต้องดำเนินเรื่องอย่างไรให้มีความสมจริง
คิดว่า จะต้องเขียนฉากอย่างไรให้เป็นไปตามเหตุปัจจัยที่คนทั่วไปแย้งน้อยที่สุด
คิดว่า จะต้องดำเนินเรื่องอย่างไรให้มีความสมจริง
คิดว่า จะวางเส้นเรื่องอย่างไรให้ตัวละครเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
คิดว่า จะต้องเขียนอย่างไรให้ถึงตอนจบให้เร็วและดีที่สุด

นั่นแหละ การเป็นนักเขียนก็ต้อง คิด คิด แล้วก็คิด อยู่ตลอดเวลา เพื่อเขียนผลงานมาให้ดีที่สุด
และความคิดหนักนั่น ผมสนุกไปกับมัน เพราะใจผมมันเดินไปทางนั้นอยู่ 

แต่ว่า...

บางครั้ง ก็มีปัญหาเรื่องทางบ้าน ทางครอบครัว 
บางครั้ง ก็อิจฉาน้อยใจ ที่เห็นคนอื่นๆ เดินไปได้ไกลกว่าผม

นั่นแหละเป็นความคิดอีกด้านที่ทำเอาผมขุ่นคัวหมองใจ ทำไมเรายังอยู่กับที่ ไม่ประสบความสำเร็จไปได้สักที... นั่นแหละเป็นความคิดที่รู้สึกท้อไปบ้าง ว่าจะหางานประจำหรือ Part Time ทำเพื่อประทั่งชีวิตไปก่อนดีกว่าไหม... และก็คิดกังวลเรื่องนั้นเรื่องนี้ 

ยิ่งเปิด Facebook เห็นคนอื่นประสบความสำเร็จเดินไปข้างหน้า มันยิ่งรู้สึกท้อ ทุกคนเป็นดาวเป็นเดือนกันหมดแล้ว แต่ผมยังอยู่ที่เดิม... และยิ่งน้อยใจ ที่โพสต์ครอบครัว ญาติๆ มีแต่คนกด like และ comment กันมาก แต่กลับผม ไม่มีใครให้ความสนใจเลยแม้แต่น้อย... คิดแล้วเศร้าใจ

แต่ยังดีที่มี BNK48 มาขึ้นบน feed แทนโพสต์เหล่านั้นให้บรรเทาความอิจฉาน้อยใจลงไปได้

วันที่ผมเขียนลงบล็อกอันนี้... เป็น "วันวิสาขบูชา" 
รูปวาดพระพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน
ซึ่งเป็นวันคล้ายวันที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ และ ปรินิพพาน 
ให้เราชาวพุทธฯ ได้ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ว่าท่าน ได้สอนแนวทางแห่งการดับทุกข์ ดับกิเลสนี้อย่างไร และคำสอนของพระองค์ก็เผยแพร่ผ่านพระสงฆ์สาวกมาตลอด 2500 กว่าปี และจะมีกิจกรรมเวียนเทียนช่วงค่ำ

พอคิดถึงคำสอนพระพุทธเจ้า... ผมก็พบว่า คำสอนหนึ่งที่ ผมรู้สึกว่าทำไม่ค่อยได้สักที
นั่นคือ "อุเบกขา" หนึ่งในพรหมวิหาร 4 ที่ท่านสอนให้วางใจเป็นกลางต่อทุกสิ่งทุกอย่าง

คำสอนนั้น ผมมองว่านั่นคือการ "ปล่อยวาง" 

ใช่แล้ว... ที่ผ่านมาในชีวิต ผมเป็นคนที่ปล่อยวางอะไรไม่ค่อยได้ เพราะยังรู้สึกเสียใจ เจ็บแค้น ต่อครอบครัวที่เห็นผมเป็นส่วนเกิน และพวกมันที่เคยมาทำให้ชีวิตผมต้องมัวหมองจนให้อภัยไม่ได้ 

บางทีเวลาผมอยู่กับตัวเองเพียงลำพัง มันก็มีอาการแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาเรื่อยๆ...
จนลืมไปว่าเราคิดอย่างนั้นไปทำไม
ทั้งๆ ที่ผมคิดว่าวันนี้ ควรจะทำอะไรมากกว่า...

และบางวัน เขียนนิยายอยู่ดีๆ ความคิดพวกนี้ ทำให้ผมหลุด ฟุ้งซ่าน ไม่ได้กลับมาคิดหรือเขียนนิยายต่อ
เปิด Facebook ทีไร ความสนใจหันเหไปทุกที
จนแอบโทษตัวเองนะว่า เรามันเป็นชาวพุทธที่แย่จริงๆ สติหลุดร่อน ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว... OTL

เมื่อหันไปมองจิตที่กำลังสู้ว่า สักว่าจะต้องเขียนนิยายให้จบ!!!

พอคิดตรงนี้ให้หนักๆ มันเหมือนความรู้สึกของคนที่กำลังดิ้นจากเชือกและพันธนาการที่กำลังมัดตัวอยู่
เมื่อจิตปกติ และคิดแบบนี้ นั่นแหละ ทำให้ผมพยายามที่ย้ายความคิดไปสู่นิยายตัวเอง เพื่อเขียนให้จบ ให้จงได้!!!... โดยเฉพาะเวลาที่ผมมีจิตใจที่เป็นปกติ ก็กลับมาเห็นเลยว่า 

แล้วเราจะมาคิดเรื่องนั้นไปทำไม?...

เอาเวลาไปคิดเรื่องเขียนนิยายให้จบไม่ดีกว่าเหรอ?
เอาเวลาไปคิดวางแผนดำเนินนิยายอย่างไรให้จบและสมเหตุสมผลไม่ดีกว่าเหรอ?
เอาเวลาไปคิดเขียนเรื่องราวสนุกๆ ลงบล็อกหอยทากนี้ไม่ดีกว่าเหรอ?
เอาเวลาไปคิดหางาน Freelance ง่ายๆ ไม่ดีกว่าเหรอ?
เอาเวลาไปคิดหาเงิน เพื่อเก็บทุนส่วนหนึ่งไปเปย์ BNK48 ไม่ดีกว่าเหรอ?

ยาวไป ยาวไป... ยาวไป ข้ามไม่ได้ 55555+

เฮ้ย!! เวอร์ไปแล้ว!!!!!

สุดท้ายแล้ว ผมก็ต้องคิดอยู่อย่างหนึ่งว่า จะทำอย่างไรให้ชีวิตของตัวเอง เดินไปให้ประสบความสำเร็จในแบบที่เราเป็น...

เห็นไหมล่ะ พอคิดเรื่องในเรื่องหนึ่ง ก็คิดยาวเป็นหางว่าวออกทะเลจนเอามาเขียนยาวๆ ได้แบบนี้แหละ พออ่านมาถึงตรงนี้ มันดู "เปลือง" หรือเปล่าล่ะ?

แม่ผมเคยสอนว่า เวลาจะใช้จ่ายอะไรอย่าจ่ายเยอะเกินความจำเป็นเพราะมัน "เปลืองเงิน"
ในโฆษณาบอกว่า ให้ประหยัดพลังงานเข้าไว้ เพื่อไม่ให้เรา "สิ้นเปลืองพลังงาน"
ถ้าเส้นทางมันไม่ไกลนัก เดินเอาเองก็ได้ จะได้ไม่ต้อง "เปลืองน้ำมัน"
ถ้าห้องนี้ไม่มีใครอยู่ ก็ปิดไฟ จะได้ไม่ต้อง "เปลืองไฟ"

และ เวลาที่ผมเขียนนิยาย จะต้องคิดแต่เรื่องเขียนนิยายเท่านั้น เรื่อง(คน)อื่นจะเป็นจะตายจะร้ายจะดีอย่างไร ช่างแ-่งเถอะ ขี้เกียจคิด 

ไม่อยาก "คิดมาก" เพราะมัน "เปลืองสมอง"

นั่นแหละครับ... พอผมระลึกถึง พรหมวิหาร 4 โดยเฉพาะ "อุเบกขา" ทำให้ผมเห็นแล้วว่าความคิดมากของผมมันเป็นด้าน Dark ด้านหนึ่งของผม แต่ในขณะเดียวกัน ผมจำเป็นที่จะต้องคิดมาก ในเรื่องที่จะต้องเขียนนิยายให้มีความสมเหตุสมผลที่คนอ่านยอมรับและเข้าใจได้...

เวลาผมตั้งใจจะเขียนนิยาย ผมก็ยอมรับแหละครับว่า บางทีมีความคิดบางอย่างที่มาทำให้สมองเรารก และคิดเรื่องที่เราจะคิดต่อไม่ได้... ถ้าวันไหนไม่ดีสติ จิตก็หลุดไปกับความคิดที่หาคำตอบไม่ได้นั่นแหละครับ

เอาเป็นว่า สิ่งที่ควรจะคิดมาก ในตัวผมแล้วก็คือ คิดว่าจะเขียนนิยายอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ คิดเขียนงานเขียนอย่างไรให้ออกมาเป็นเงินเป็นทอง คิดว่าจะดำรงชีพในฐานะ "นักเขียน" อย่างไรให้ดีที่สุด

เรื่องอื่นๆ น่ะเหรอ... ขี้เกียจคิดละ ไม่อยากคิดมาก เพราะมันเปลืองสมอง... 
ใช้  "อุเบกขา" เป็นสะพานไปสู่การ "ปล่อยวาง"

ที่มาจากเว็บบอร์ด วัดท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี

สิ่งที่ผมอยากจะบอกคือ เรื่องอะไรที่ไร้สาระ เป็นมลพิษทางจิตใจ ก็ลืมๆ ไปเถอะ
เพราะสิ่งนั้นมัน "เปลืองสมอง" ใช้อุเบกขาในการปล่อยวาง
คิดอยู่เสียว่าทุกวันนี้เราจะทำอะไรให้เดินหน้าต่อไปในชีวิตประจำวันดีกว่าครับ

ขอบคุณที่อ่านมาจนจบ และลืมๆ ไปเถอะว่ากำลังอ่านอะไรอยู่ 55555+

ความคิดเห็น