ทุกชีวิตต้องการรักษา แม้กระทั่งการเยียวยาจิตใจก็สำคัญไม่แพ้กัน


สถานการณ์รอบตัวในทุกๆ วันนี้ มักจะมีปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกบ้าน จนเป็นการสะสมความเครียดที่หมักหมม-มานาน ไม่ว่าจะเป็นวัยอะไรก็ตาม ยิ่งมีสื่อสังคมออนไลน์ ที่สามารถเข้าถึงและรับรู้กันได้ง่ายๆ ยิ่งทวีคูณความเครียดที่ไม่สามารถหาทางแก้ไข หรือระบายให้ใครฟังได้

ใครจะไปรู้ว่า คนที่เราคุยด้วย หรือใครที่เข้ามาหาเราในชีวิต หรือแม้กระทั่งตัวเราเองนั้น เก็บซ่อนความทุกข์ถึงขั้นฝังใจไว้มากแค่ไหนก็ยังไม่รู้ จนบางที ความเครียดค่อยๆ ฆ่าคนอย่างช้าๆ ถ้าหากคนที่เราคุยกันเมื่อวาน จู่ๆ ก็เสียชีวิตไป ก็เป็นเรื่องที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียว ซึ่งการทิ้งความเครียดนั้น มันไม่ง่ายเหมือนกับการทิ้งขยะเลย...


เกมไพ่ไขชีวิต
วันที่ 10 มีนาคม เป็นอีกวันที่ผมเดินทางมาเค้าคอร์สโยคะหัวเราะฟรีกับครูเก๋วรารักษ์ เพื่อที่จะมารักษาและบำบัดความเครียดทางจิตใจเหมือนกับเพื่อนๆ ที่เข้ามาด้วยกัน กิจกรรมในครั้งนี้ เป็นกิจกรรม "เกมไพ่ไขชีวิต" โดยโค้ชเติร์ก วราเวช โค้ชผลลัทธ์ จาก องค์กรการโค้ชนานาชาติ Neuro Leadership Group

เริ่มแรก ให้ทุกคนมานั่งล้อมวง ถือการ์ดกำลังใจจำนวนหนึ่ง และมีการ์ดกระดาษที่ให้เอาไว้เขียนในการตอบคำถาม และเป็นการ์ดกำลังใจสำรองหลายๆ แผ่น เอาไว้เขียนสร้างกำลังใจได้อย่างอิสระ

โค้ชเติร์ก วราเวช
โค้ชผลลัทธ์ จาก องค์กรการโค้ช-
-นานาชาติ
Neuro Leadership Group
การเตรียมลักษณะนี้ โค้ชเติร์ก อธิบายว่า ให้แต่ละคนนั้น ตอบคำดามจากการ์ดที่ได้ระบุเอาไว้ โดยทุกคนจะผลัดเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่ซ่อนอยู่ในจิตใจของตัวเอง และให้คนที่เหลือตั้งใจรับฟัง ถ้าเรื่องที่ได้รับฟังั้น รู้สึกเห็นใจ ก็ให้แจกการ์ดไปยังผู้ที่เล่าเรื่องราวนั้น โดยโค้ชเติร์กแนะนำให้พื้นที่นี่เป็น Comfort Zone ให้เราได้ได้พูดถึงสิ่งอยู่ในใจได้ทั้งหมด และผู้ฟังสามารถอยู่ในอิริยาบถแบบตามสบาย

สำหรับการ์ดคำถามนั้น มีอยู่ทั้งหมด 64 ใบ และและมีการ์ดอุ่นเครื่องกับการ์ดท้ายเกมไว้ต่างหาก ด้วยเวลาที่จำกัดจึงเล่นการ์ดราวๆ 2-3 ใบ การ์ดอุ่นเครื่อง 2 ใบแรก เป็นการ์ดคำถามถึงสิ่งที่ตัวเองกำลังกังวลใจอยู่ ณ ขนะนี้ และ คาดหวังอะไรจากการเล่นเกมนี้
แต่ละคนค่อยๆ เล่ากันไป ตามแต่ที่อยากจะเล่า หรืออยากจะระบาย ตามความหนักเบาของปัญหาในแต่ละคน ในขณะที่คนอื่นเล่า ผมพยายามตั้งใจฟังและรับรู้ปัญหาหนักเบาของแต่ละคนได้เป็นอย่างดี

ส่วนการ์ดที่เล่นกันจริงๆ โค้ชเติร์ก ได้ให้ลูกบอลสีดำขนาดเท่ากำมือเป็นสัญลักษณ์ผู้นำ (พูด) ผู้ตาม (ฟัง) โดยผู้ที่เล่าจะต้องถือลูกบอลสีดำขนณะเล่าไปด้วย เมื่อพูดจบให้ส่งลูกบอลไปยังคนถัดไป ซึ่งสื่อว่า ตำแหน่งสูงๆ นั้นอยู่กับเราได้ชั่วคราว จงทำหน้าที่ตรงนั้นให้ดีที่สุด


สำหรับคำถามข้อแรกที่ได้รับ คือ "ในช่วงเวลานี้ให้เวลาทำกิจกรรมอะไรมากที่สุด" แต่ละคนก็มีกิจกรรมที่เป็นปัจจุบันหลายๆ อย่างอยู่แล้ว สำหรับผมตอนนี้ไม่ค่อยมีเวลาหาเรื่องมาเขียนบล็อกสักเท่าไหร่ เพราะขับ Grab เพื่อเลี้ยงชีพตัวเอง เอาไว้ต่อความฝันในอนาคตครับ

ส่วนอีกคำถามคือ "อยากจะไปแก้ไขอดีตได้อย่างไร" ซึ่งทุกคนรวมถึงตัวผมเองต่างก็มีอดีตที่เจ็บปวด และพูดถึงสิ่งที่อยากจะแก้ไขตัวเอง ซึ่งโค้ชเติร์กและหลายๆ คนรวมถึงผมก็รู้กันดีว่า อดีตเป็นสิ่งที่กลับไปในแก้ไขไม่ได้ แต่ยังสามารถปรับปรุงแก้ไขในปัจจุบันให้เป็นอดีตที่ดีได้ ซึ่งในระหว่างนี้ คนที่พูดได้ถือลูกบอลไปด้วยเล่าไปด้วย ส่วนคนที่ฟังก็ส่งกำลังใจให้กับผู้เล่ามาอย่างต่อเนื่อง



สำหรับการ์ดท้ายเกมนั้น ได้คำถามว่า "เราได้เรียนรู้อะไรจากเกมนี้" และ "หลังจากนี้จะเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างไร" แต่ละคนก็ได้พูดถึงสิ่งๆ นั้น เสร็จแล้วเขียนการ์ดขอบคุณตัวเอง คนรอบข้าง รวมไปถึงคนที่เราอยากจะขอบคุณด้วย

สำหรับบทความนี้ ผมจะเอาคำถามรองสุดท้าย มาตอบแบบเต็มๆ ในฐานะที่ผมได้รู้จักกับครูเก๋ ได้มาเข้าคอร์สฟรีหลายครั้ง และได้รู้จักกับกลุ่มสังคมใหม่ๆ มากขึ้น ซึ่งสิ่งที่ผมคิดออกมานั้น ผมคิดได้ก่อนที่จะเจอคำถามนี้ ซึ่งสิ่งที่พูดออกไปในกิจกรรมนั้น ก็กลายมาเป็นคำตอบที่ผมตอบไปแล้วครับ

การที่ผมมาอยู่ตรงนี้ ทั้งเล่าเรื่องที่ค้างคาในใจ และฟังปัญหาของอื่นๆ นั้น เหมือนกับการถอดหน้ากากคุยกัน ที่รู้สึกเป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่า คนที่ผมเห็นหน้ากันทุกๆ วันนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหน ก็ล้วนมีสิ่งลึกๆ ที่ซ่อนอยู่ในใจ ดั่งเพลง Reflection ของมู่หลาน ปัญหาชีวิตที่ซุกซ่อนอยู่ก็ถูกเล่าออกมาให้เรารู้สึกเห็นใจ และให้กำลังใจผ่านการส่งการ์ดนั้น

ไม่มีใครรับรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของแต่ละคนได้นอกจากตัวเราเอง
(C)1998 Walt Disney Pictures
ทุกๆ คนที่เราเห็นๆ กันอยู่นั้น ใช่ว่าจะมีความสุขแบบนั้นหรือ? มาโยคะหัวเราะของครูเก๋แล้วจะมีความสุขไปตลอดหรือ? ซึ่งผมเองก็และคนในที่นี้ก็มากันหลายๆ ครั้ง และครูเก๋ก็บอกว่าให้มาตลอด เพราะปัญหาชีวิตของแต่ละคนล้วนเกิดขึ้นทุกๆ วัน บางปัญหาก็เบาแค่คิดสั้นๆ ก็แก้ได้ด้วยตัวเอง บางปัญหาก็หนักจนถึงขั้นซึมเศร้าแทบจะติดสั้นฆ่าตัวตาย

ไม่ว่าปัญหาแต่ละคนจะหนักเบาแค่ไหน แต่ปัญหาของแต่ละคนนั้นเปรียบเทียบกันไม่ได้ (เด็ดขาด!!) การที่คนมีปัญหาเหมือนกันนั้นมาอ้างว่า "ฉันเจอหนักกว่าเธอ เธอต้องแก้ปัญหาได้เหมือนฉัน" มันก็เหมือนเป็นการไม่รับฟังปัญหาของคนอื่นแถมยังยัดเยียดการแก้ปัญหาให้คนๆ นั้นทำตามตัวเอง เหมือนเป็นการเสียบกุญแจผิดดอก ที่ย่อมปลอดล็อกไม่ได้อยู่แล้ว อย่าคิดว่าคนที่มีปัญหาเหมือนกันไม่ว่าจะหนักกว่าหรือเบากว่า จะสามารถแก้ไขด้วยทางนี้ได้ตลอด

เพราะคนเราเกิดมาล้วนไม่เหมือนกัน แม้จะมีปัญหาที่เหมือนกัน แต่ความสามารถในการรับมือหรือแก้ปัญหานั้นแตกต่างกันอยู่แล้ว บางคนก็คิดได้บ้าง คิดไม่ได้บ้าง อีกทั้งสถาการณ์ที่เจอมาก็คนละแบบกัน ดังนั้น วิธีแก้ปัญหาจึงต้องใช้แก้ไขเป็นวิธีเฉพาะทางของแต่ละคนไป



ที่สำคัญ ปัญหาที่ทุกคนมี ล้วนอยากได้รับการแก้ไข อยากได้ทางออกที่ชัดเจน ซึ่งความเครียด ซึมเศร้า และแผลใจก็ต้องมีการเยียวยารักษา ไม่แพ้แผลทางกายเลย ทุกคนรู้วิธีทิ้งขยะ หรือแยกขยะได้ แต่น้อยคนนักที่จะรู้วิธีการทิ้งขยะภายในจิตใจ ว่าจะทิ้งอย่างไรไปให้พ้นออกไปจากจิตใจ ซึ่งนั่นก็ไม่ง่ายเหมือนทิ้งขยะทั่วๆ ไป และบางปัญหาก็จำเป็นที่จะต้องให้ใครช่วยหาทางชี้แนะหรือแก้ไขให้

เครื่องใช้และสิ่งของต่างๆ ล้วนมีเวลาที่จะต้องซ่อมแซม ปรับปรุงให้พร้อมใช้งานได้เสมอ สภาพร่างกายก็ยังต้องดูแล ซ่อมแซม และบำรุงรักษาให้พร้อมในภารกิจหน้าที่ของวันต่อๆ ไป สภาพจิตใจก็เช่นกัน ที่ต้องรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ที่ทำให้มีความเครียดที่สะสม จะต้องมีวิธีเยียวยาและบำบัดจิตใจให้ดีขึ้น เหมือนกับการมาคอร์สโยคะหัวเราะของครูเก๋ในทุกๆ วัน เพราะทุกชีวิตต้องการรักษา แม้กระทั่งการเยียวยาจิตใจก็สำคัญไม่แพ้กัน



สำหรับสิ่งที่ได้เรียนรู้นอกเหนือจากบทความนี้ คือการสำรวจตัวเอง เพราะบางครั้ง ปัญหาและอุปสรรคที่เราประสบมา เราอาจมีส่วนที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อตัวเองและผู้อื่น จึงเป็นบทเรียนชีวิตให้เราระมัดระวังตัวเองให้มากขึ้น เพื่อให้อยู่ร่วมกับคนอื่นๆ ได้อย่างสันติสุข

ในส่วนคำถามที่ยังค้างคาสงสัยนั้น เมื่อเราคิดถึงตัวเองมากๆ ให้เวลาอยู่กับตัวเองและไตร่ตรองกับเรื่องที่เกิดขึ้น จะทำให้มีความคิดที่เรารู้สึกว่าเราควรทำแบบนี้ และไม่ควรทำแบบนี้ ต่อไปจะต้องปรับตัวให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปในอนาคต และคำถามที่ถามขึ้นมาเอง ก็สามารถค้นพบคำตอบได้ด้วยตัวเองเช่นกัน เพราะไม่มีใครรู้จักตัวเราได้ดีที่สุดนอกจากตัวเราเอง



จะเห็นได้ว่าการเล่นเกมไพ่ไขชีวิตจากโค้ชเติร์กนั้น ทำให้เราฝึกเป็นผู้พูดและผู้ฟังที่ดี ได้สร้างเสริมสมาธิ ฝึกอยู่กับตัวเองและเข้ากับคนอื่นๆ ไปพร้อมๆ กัน อีกทั้งยังทำให้เราเห็นว่า เราไม่ใช่คนที่รับมือแก้ปัญหาอย่างเดียวดาย ยังมีคนอีกหลายคนที่พร้อมที่จะให้กำลังใจกัน แม้ว่าจะไม่สามารถช่วยแก้ไขอะไรได้ แต่พร้อมที่จะรับฟัง ปลอบใจ ช่วยเหลือ แนะนำ และอยู่เคียงข้างกันเสมอมา ซึ่งทั้งหมดนั้นล้วนเป็นสิ่งที่เรากำลังลืมคิดไปว่า มีสิ่งที่เยียวยารักษาจิตใจรอบๆ ตัวเราอยู่มากแค่ไหน

สุดท้ายนี้ โค้ชเติร์กก็ได้ฝากข้อคิดดีๆ จากกิจกรรมครั้งนี้ คือ "จงสร้างผลลัทธ์ออกมาให้ดีที่สุด" เพื่อให้เป็นที่ประจักษ์และแรงบันดาลใจต่อตัวเองและคนทั้งโลกใบนี้ เพราะทุกคนมีศักยภาพอั้นล้ำค่าในตัว จงเชื่อมั่นว่าตัวเราเองนั้นมีดี เหมือนกับที่คนอื่นๆ เห็นด้านดีในตัวเรา และมุ่งมั่นทำสิ่งนั้นให้ออกมาดีที่สุดในแบบที่เราเป็นครับ




ความคิดเห็น