ก่อนอื่นต้องขออภัยเป็นอย่างมากครับ ที่ไม่ได้เขียนเรื่องราวการเล่น Undertale มานานเป็นปี บทความนี้จะกลับมาเขียนการเล่นของตัวเองให้จบ ซึ่งผมเล่นจบแบบ True Pacifist Route รอบแรกเมื่อสิ้นปีที่แล้ว และเล่นวนซ้ำราวๆ 3-4 รอบครับ
การเล่น Undertale ให้จบแบบ True Paficist Route นั้น ไม่ได้ง่ายและไม่ได้ยากอะไรอย่างที่คิด แต่มีสิ่งหนึ่งที่ต้องเตือนไว้เลยว่า... ถ้าใครยังไม่ได้เล่น อย่าพึ่งอ่านอะไรทั้งสิ้น เพราะนี่คือสปอยล้วนๆ ซึ่งบทความนี้จะสปอยแบบจัดเต็มนะครับ ถ้าใครยังเล่นไม่จบ ก็ขอให้กลับไปเล่นให้จบก่อนแล้วค่อยมาอ่านนะครับ
>>> (ซิ้อเกมนี้ได้บนเว็บ Steam) <<<
ประตูลิฟต์ที่ถูกปิดไปด้วยความเงียบ
ประตูลิฟต์ถูกปิด? |
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจใน True Laboratory แล้ว Frisk จะได้ยินเสียงลึกลับ และถูกย้ายไปยังเมืองหลวงทันทีโดยที่ประตูลิฟต์ถูกปิดด้วยเถาวัลย์ ทำให้เราไม่สามารถออกไปจากเมืองหลวงได้
เมื่อเดินไปเรื่อยๆ เราจะไม่พบจุด Save สักที่ คุณ Sans ก็ไม่ปรากฏตัวเหมือนในตอนที่เล่นใน Neutral Route ทำให้ผมเริ่มจะงงๆ และวังเวงแปลกๆ (เพราะยังหลอนกับ True Lab ไม่หาย) ตอนนั้นผมหวังอย่างเดียวว่าจะไปถึงจุด Save ให้ได้
Save, the Asgore?
"วันนี้เป็นวันที่ดีนะ..." |
เมื่อเรามาพบ Asgore อีกครั้ง เราจะคุ้นเคยกับบทสนทนาเหมือนกับที่เราเจอตอน Neutral Route แต่ต่างกันที่ไม่มีจุด Save ผมยังร้อนรนใจว่าเมื่อไหร่จะเจอ (ซึ่งตอนนั้นเบตใน Notebook เสื่อม ถ้าดับคือคอมดับไปเลย) จนมาพบในประตูสุดท้ายก่อน เกราะกำบัง
เวลาที่ผมเล่นนั้นเป็นช่วงตี 2 กว่าๆ ผมคิดว่าจะเล่นให้จบๆ ไปเลย เพราะผมหลอน True Lab มากจนไม่กล้านอน ผมจึงเล่นต่อครับ หลังจาก Save เสร็จแล้ว จึงตัดสินใจสู้กับ Asgore อีกครั้ง คิดว่าคงจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงแน่ๆ ซึ่งผมหวังว่า Asgore จะไม่ถูกเจ้าดีออกฆ่าอีก เมื่อเข้าการต่อสู้ก็ปรากฎว่า...?
เจอกับ Toriel อีกครั้ง (และเพื่อนๆ)
Toriel มาห้ามเราไม่ให้สู้ |
ในวินาทีที่ Asgore จะพังปุ่ม Mercy กลับมีลูกไฟปรากฎขึ้นมาโจมตีใส่ Asgore กระเด็นออกจากฉาก ซึ่งผู้ที่ปล่อยลูกไฟใส่นั้น เป็น Toriel อดีตภรรยาของ Asgore ที่เราเจอตอนเริ่มเกมนั่นเอง...
Toriel บอกว่าเธอจะเข้ามาปกป้องเราโดยไม่ให้ต่อสู้กับ Asgore เธอเป็นห่วงมาก กับการที่เราออกผจญภัยคนเดียว โดยจะต้องฆ่า Asgore เพื่อชิงวิญญาณผ่านเกราะเพื่อออกจากดินแดนนี้ เป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสเกินไป เธอจึงตัดสินใจที่จะมาหยุดการต่อสู้เสียดีกว่า
Asgore ถูก Toriel ตำหนิ |
Asgore รู้สึกตัวก็ดีใจที่ได้เห็น Toriel อีกครั้ง แต่เธอปฏิเสธอย่างเย็นชา และต่อว่า Asgore ว่า ถ้าจะปลดปล่อยพวกเรา แทนที่จะเอาวิญญาณมนุษย์ไปเพียงดวงเดียว แล้วไปเอาอีก 6 ดวงที่เหลือจากข้างนอก แต่กลับมารอให้มนุษย์ตกลงมาแล้วค่อยฆ่า แบบนี้ก็ทำได้แค่หวังลมๆ แล้งๆ และยังฆ่าผู้บริสุทธิ์ไปฟรีๆ อีกด้วย
Asgore รู้สึกผิด ว่าตัวเองเป็นสัตว์ประหลาดที่แย่ที่สุด อย่างไรก็ตาม Asgore อยากจะคืนดีกับ Toriel อีกครั้ง แต่เธอกลับตอบปฏิเสธเขาจึงร้องไห้...
เมื่อ Toriel ปฏิเสธ Asgore จึงร้องไห้... |
ฉาก Asgore ร้องไห้เป็นอะไรที่จะขำก็จะขำ จะสงสารก็สาร จนทำให้ผมคิดได้ว่า ผู้ใหญ่ หรือคนที่แข็งแกร่ง ก็อ่อนแอและร้องไห้เป็นเช่นกัน จากนั้น Undyne Dr.Alphys Papyrus และคุณ Sans มารวมตัวกันเพื่อที่จะมาหยุดการต่อสู้ไปด้วยกัน
คุณ Sans กับ Toriel ได้เห็นหน้ากันสักที |
Toriel เริ่มจำเสียงของคุณ Sans ได้ เพราะเคยเล่นมุกผ่านประตูกันมาโดยไม่เห็นหน้ากัน และเคยผูกสัญญาไว้ว่าขอให้เขาช่วยติดตามดูแลมนุษย์ที่ตกลงมา ซึ่งเรื่องนี้เราจะได้ยินในช่วงของ Netural Route ที่เราไปเที่ยวเล่นกับคุณ Sans ใน MTT Resort นั่นเอง หลังจากแนะนำตัวและรู้จักกับ Papyrus เธอก็เล่นมุกใส่
ในตอนนั้น Mettaton (ที่โผล่มาแต่ขา) มาชักชวนให้ Undyne กับ Dr.Alphys จูบกัน ซึ่งแรกๆ ผมก็แอบลุ้นแบบขำๆ ทั้งคู่เริ่มจะรู้สึกเขินๆ และแสดงคว้ามกล้าหาญ จึงค่อยๆ Mouth to Mouth แล้ว Toriel มาห้ามทั้งคู่ไว้ บอกว่า อย่าทำแบบนี้ต่อหน้ามนุษย์นะ แหม... ทำเอาตกใจเล่นๆ 555+
จะจูบกันแล้วนะ... อ้าว! ต่อหน้ามนุษย์ไม่ได้หรอ 555+ |
อยู่ที่นี่อีกหน่อยนะ มีเพื่อนรายล้อมเยอะแยะเลย |
อย่างไรก็ตาม ทุกคนมารวมตัวกันจึงกลายเป็นภาพแห่งความสุขอีกครั้ง Toriel ชักชวนให้เราอยู่ที่นี่กันอีกสักหน่อย เพราะเราได้ผูกมิตรกับสัตว์ประหลาดทุกๆ คนไว้มาก คาดว่าถ้าเราเป็นเพื่อนกัน เราก็อยู่ที่นี่ด้วยกันอย่างมีความสุขได้...
แต่ Dr.Alphys ชักจะสงสัย จึงสอบถาม Papyrus ที่เรียกให้ทุกคนมาที่นี่ เป็นเพราะอะไรกัน
"นี่ Papyrus... นายรู้ได้ยังไง และทำไมถึงเรียกพวกเรามาอยู่ที่นี่ได้เหรอ?"
"อ๋อ... ก็เพราะว่า... มีดอกไม้น้อยๆ แนะนำมา"
"หา!? ดอกไม้น้อยๆ เหรอ!?!?"
เสียงเพลงดับลง พร้อมกับเถววัลย์มัดทุกคนไว้ทั้งหมด และนั่นเป็นฝีมือของ!!!
ดีออก!! MUNG อีกแล้วเหรอ!?!?
ดีออกกกกก!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! &(&^!(&$^(%&@(#*%^@#&^&@&^ |
"ฉันจะปกป้องเธอจากดอกไม้" |
แต่ Toriel และทุกคน ช่วยกันปกป้องหัวใจของเราเอาไว้ และเชื่อมั่นว่าเราจะสู้กับมันได้ แน่นอนครับ! ในตอนนั้น ผมจะตั้งเป้าว่า ถ้าผมต่อสู้กับมัน ผมจะ FIGHT ไม่ให้ Mercy เด็ดขาด ผมจะไว้ชีวิตทุกคนยกเว้น Flowey
ต่อใหัมันโจมตีใส่เราอย่างไร เพื่อนๆ ใช่อาวุธที่มีช่วยกันปกป้องเรา และค่อยๆ รักษาเราจนพลังกลับมาเต็มอีกครั้ง รวมไปถึงเชียร์ให้เราเอาชนะเจ้าดีออกหัวประตูดอกนี้ให้ได้
ทุกคนมากันเต็มไปหมด |
นอกจากนี้ ยังมีสัตว์ประหลาดอื่นๆ เข้ามาช่วยเหลือและให้กำลังใจเราอย่างล้นหลาม จนทำให้ม้นสับสน และลังเล นั่นเป็นเพราะสิ่งเราเลือกที่จะ "ไม่ฆ่าใครเลย" และ "ผูกมิตร" กับสัตว์ประหลาดทั้งหมด จะส่งผลให้สัตว์ประหลาดทุกตัวรักเราได้ขนาดนี้
คาดว่าอีกไม่กี่อึดใจแล้วที่ผมจะได้ลงไม้ลงมือกับมัน... ผมจะได้ใช้ปุ่ม FIGHT อย่างเต็มที่อีกครั้ง หลังจากที่ไม่ใช้มานาน (เสยะยิ้ม)
แต่แทนที่ผมกลับเสยะยิ้ม แต่กลับเป็น "มัน" แทน
"ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าทุกคนจะโง่ขนาดนี้!!"
"ดวงวิญญาณทั้งหมดต้องเป็นของฉัน!!"
และมันดูดวิญญาณทั้งหมดไปเป็นฉากสีขาวไปสักระยะ จนกระทั่ง...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
"ในที่สุด ฉันกลับมาเป็นร่างเดิมได้สำเร็จ"
"ฉันเหนื่อยเต็มทนแล้ว กับการที่จะต้องเป็นดอกไม้"
"ว่าไงนาย"
"นี่ฉันเอง เพื่อนสนิทของนายไง..."
A S R I E L D R E E M U R R
Asriel Fight (1): ถึงตอนจบแล้ว!
ถึงตอนจบแล้ว |
และนี่คือตอนจบที่เฉลยไว้แล้ว ดีออกหัวประตูเจ้า Flowey ที่แท้ก็คือ Asriel Dreemurr ลูกชายของ Asgore กับ Toriel ที่เหล่าสัตว์ประหลาเคยเล่าไว้ว่า เป็นลูกชายที่ตายจากการทำร้ายจากมนุษย์
ณ ตรงนี้ ผมมีความสังหรณ์ใจที่มีมาตั้งแต่ Netural Route มานาน คิดว่า Asgore คงจะเกี่ยวอะไรกับ Flowey และต้องมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ Asriel สิ่งที่ผมคาดเดานั้น ถูกเผงเลยว่า Flowey คือ Asriel
นั่นทำให้ความคิดของผมเปลี่ยนไป! เพราะหลังจากจบ Netural Route ครั้งนั้น ผมตั้งเป้าหมายว่า จะไว้ชีวิตทุกคน ยกเว้น Flowey ซึ่งการไว้ชีวิตทุกคนนั้น รวมถึง Asriel ด้วย... แต่แทนที่จะต่อสู้กับ Flowey กลับกลายมาเป็น Asriel นั้น... ผมจึงตัดสินใจที่จะ "ไม่ฆ่า" ครับ
เป็นที่เข้าใจนะครับว่า ผมกำลังสู้กับ Asriel ไม่ใช่ Flowey
ดังนั้น ผมจึง "ไม่ฆ่า" Asriel นะครับ! (ถ้าสู้กับ Flowey จึงจะฆ่า)
ด้วยพลังแห่งความมุ่งมั่น ความฝันก็จะเป็นจริงแน่นอน! |
การสู้กับ Asriel นั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะ FIGHT เพราะ Asriel รวบรวมวิญญาณทั้งหมดไว้ในตัว จึงมีพลังทุกอย่างที่สูงสุดขีด อีกทั้งเรามี LV แค่ 1 ตีไปก็เท่านั้นแหละครับ และการใช้ Mercy ก็ไม่มีผลอะไรอีกด้วย
แต่สิ่งที่เราทำได้ในคำสั่ง ACT จะมีคำสั่ง Hope กับ Dream การใช้ Hope จะช่วยลดดาเมจจากการโจมตีของ Asriel ในตานี้ และปุ่ม Dream จะฟื้นเพียงเล็กน้อย และเติมไอเท็ม Last Dreams จนเต็มช่อง ซึ่งจะที่ช่วยฟื้นถึง 17HP
ตอนนั้นเลยเวลามามาก (ตี 2 ปลายๆ) และอยากจะทำให้เกมจบเพื่อที่จะเข้านอน ผมจึงเปิดอ่านเฉลยใน Wikia เฉพาะช่วง Strategy เพื่อให้เกมจบเร็วๆ ผมทำตามคู่มือแบบงงๆ เพราะการต่อสู้ช่วงแรกนั้น เหมือนไม่มีทีท่าว่าจะไปต่อ เหมือนกลับมาอยู่ที่เดิม??
ในช่วงแรก Asriel จะโจมตีเราด้วยความสนุกสนาน เราทำได้แค่ Hope and Dream เพื่อรักษาตัวเองจากการถูกโจมตีไปเรื่อยๆ... แต่การต่อสู้ครั้งนี้ ไม่ได้กดดันเหมือนเมื่อก่อน แถมเพลงบรรเลงที่ชื่อ Hope and Dream ยังสามารถปลุกอารมณ์บวกขณะเล่นอีกด้วย
การโจมตีสุดอลังการของ Asirel ทั้งพื้นหลัง และเพลง ที่กระหน่ำอารมณ์บวกเข้าไปอย่างหนัก! |
อารมณ์บวกจากเกมถ้าโถมเข้ามาเรื่อยๆ จนผมไม่รู้สึกกลัวหรือกังวลไปกับคำพูดของ Asriel เลย เขาบอกว่าจะลบทุกสิ่งทุกอย่างออกจากโลกนี้ให้หมด จะลบทุกอย่างให้กลับมาเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดเพื่อให้มาเล่นด้วยกันใหม่ เพราะว่าเราอยากได้ Happy Ending, เพราะเรารักทุกคน, เพราะเราเป็นคนไม่ยอมแพ้
ตอนนั้นผมไม่เจ้าใจจริงๆ ว่า Asriel จะทำแบบนั้นยังไงและทำไม ไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องสู้กับเราไปเรื่อยๆ โดยไม่มีจุดหมายใดๆ แต่สิ่งที่ีไม่ได้คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อเราถูกโจมตีจนพลังหมดก็จะ...!?
But it refused. |
เอาล่ะ เราเล่นกันมาพอควรแล้ว! |
ตรงนี้ผมชอบที่ฝรั่งเล่นคำกับคำว่า Refuse ซึ่งมี 2 ความหมายก็คือ Refuse คือดวงวิญญาณนี้ปฏิเสธที่จะแตกสลายจึงกลับมารวมกันใหม่ดั่งคำว่า Re-fuse
หลังจากที่เราได้อ่านบทสนทนาของ Asriel ว่าจะลบทุกอย่างของโลกนี้ให้หมด แม้แต่สิ่งที่เราเคยผูกมิตรกับสัตว์ประหลาดตัวอื่นๆ มานั้น เขาพูดจริง และจะทำจริง!! เมื่อเขาได้เล่นกับเราจนหอมปากหอมคอ เขาจึงแปลงร่างเข้าสู่ร่างที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าคือ...?
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
Asriel Fight! (2): ร่างที่เหนือกว่า
Asriel กับร่างที่เหนือกว่า!! |
Asriel ได้กักขังเราไม่ให้ใช้คำสั่งอื่น นอกจาก ACT แล้ว Struggle ซึ่งตัวเกมบอกว่าเราขยับไม่ได้ อีกทั้งยังโจมตีเราแบบโหดร้ายทารุน แบบไม่ให้เราทำอะไรได้เลย เขาบอกว่า ทุกครั้งที่เราตาย เพื่อนๆ ทุกคนจะค่อยๆ ลืมเราไปเรื่อยๆ ชีวิตเราจะจบตรงนี้โดยไม่มีใครจำเราได้อีก และเราก็จะจำใครไม่ได้อีกด้วย
คุณไม่สามารถ Save เกมนี้ได้อีก |
เราทำได้แค่ Struggle ต่อไปเรื่อยๆ จนเกมมาบอกกับเราว่า
"ไม่ว่าคุณจะทำอะไร ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น"
"แม้แต่คุณจะพยายามไปเปิด Save ไฟล์ก็ไม่เป็นผล"
"ดูเหมือนว่าคุณจะไม่สามารถ Save เกมนี้ได้อีก..."
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
"แต่บางที คุณยังมีพอพลังเล็กๆ..."
"...ที่สามารถ Save อย่างอื่นได้!"
Asriel Fight (3): Save the World!
ปุ่ม ACT กลายเป็นปุ่ม SAVE!? |
เมื่อเราขยับตัวได้อีกครั้ง เพลงประกอบเป็นแบบปลุกเร้าอารมณ์บวกอีกครั้ง ปุ่มคำสั่ง ACT เปลี่ยนเป็นปุ่มคำสั่ง SAVE ในการต่อสู้ครั้งนี้ก็ไม่ต้องไปสนปุ่ม Fight กับ Mercy แต่อย่างใด เมื่อเรา Save ก็จะมีรายชื่อเพื่อนๆ ของเรา 6 คน ประกอบไปด้วย Toriel, Undyne, Alphys, Sans, Papyrus และ Asgore ค่อยๆ เลือกไปทีละคน แล้วเกมจะบอกว่าเรานั้นได้เข้าไปยังดวงวิญญาณของ Asriel และเรียกเพื่อนๆ เหล่านั้น...
การช่วย Toriel / Asgore |
ซึ่งการ SAVE ในที่นี้คือ การช่วยเหลือเพื่อนๆ ที่กำลังจะถูก Asriel ลบความทรงจำออกไป ซึ่งจะเป็นการสู้แบบ Boss Rush Fight ที่เราจะต้องใช้ "วิถี Undertale" เข้าต่อสู้ จากคู่มือที่ผมอ่านนั้น เมื่อเราเลือกแล้ว เพื่อนที่เราเลือกปรากฎในวิญญาณที่กำลังจะหายไป (Lost Soul)
การช่วย Papyrus / คุณ Sans |
วิธีการสู้ไม่ยาก แค่ใช้ ACT ใดๆ ก็ได้ 3-4 ครั้ง เพื่อรื้อฟื้นความทรงจำของเพื่อนๆ กลับคืนมา เมื่อทำสำเร็จ เกมจะบอกว่า "ทันใดนั้น พวกเขาก็ได้รื้อฟื้นความทรงจำกลับมา" และเพื่อนๆ จะกลับมาจำเราได้อีกครั้ง... และเราจะกลับเข้าไปอยู่ด้านหน้า Asriel เพื่อ Save (ช่วยเหลือ) คนอื่นๆ ต่อไป
การช่วย Undyne |
สังเกตเวลาเราหลบการโจมตี หัวใจของเราจะเปลี่ยนเป็นสีต่างๆ ตามที่เราเคยสู้กับตัวละครนั้นๆ กันใน Netural Route เป็นการรื้อฟื้นความทรงจำให้กับเราอีกด้วย และหัวข้อใน ACT ที่เลือกก็เหมือนกับที่เราเจอกับคนๆ นั้น
การช่วย Dr.Alphys |
เหลืออีกคนที่ต้องช่วยเหลือ? |
เมื่อ Save ครบทั้ง 6 คนเรียบร้อยแล้ว เราเข้าไป SAVE อีกครั้ง จะเป็นการ "Save ใครบางคน" เมื่อเราเลือกคำสั่งแล้วเพลงจะดับลง พร้อมกับข้อความของเกมที่บอกเราดังนี้...
น่าแปลกใจ ทั้งๆ ดวงวิญญาณของเพื่อนๆ ได้จดจำคุณเรียบร้อยแล้ว
ยังรู้สึกได้ถึงอีกดวงวิญญาณหนึ่งที่สามารถรับรู้ได้ ชัดขึ้น ชัดชึ้น
ดูเหมือนว่ายังเหลืออีกคนที่จะต้องช่วยเหลือไว้
แล้วเป็นใครล่ะ?
ในที่สุด คุณก็รู้แล้ว... คุณจึงเรียกชื่อของเขา...
Asriel: "เฮ้ย นายทำอะไรล่ะ?"
Asriel Fight (4): Save the ASRIEL!
ความทรงจำของ Asriel ที่นึกถึงมนุษย์คนแรกที่ตกลงมา |
เมื่อเรารื้อฟื้นความทรงจำของเพื่อนๆ ของเราได้ ทำให้ Asirel ได้รื้อฟื้นความทรงจำหนึ่งขึ้นมาได้เช่นกัน ในเกมได้ตัดฉากไปยังมนุษย์ที่ตกลงมายังโลกใต้ภิภพ ซึ่ง Asriel มาพบเข้าจึงช่วยเหลือและพาเข้าไปยังบ้านของตัวเอง และครอบครัวของเขายังให้ความรักใคร่เปรียบเสมือนครอบครัวเดียวกัน
ถ้าใครยังจำสิ่งที่เหล่าสัตว์ประหลาดเล่าไว้ใน Netural Route ก็จะตรงตามภาพที่ปรากฎในการต่อสู้ครั้งนี้ และ! ถ้าสังเกตเสื้อของมนุษย์คนนั้นดีๆ แล้วลองนึกย้อนกลับไปสังเกต Frisk ในตอนที่เราเรื่มเล่น จะทำให้เริ่มเห็นแล้วว่า มนุษย์ที่ Asriel กำลังนึกถึงนั้น ไม่ใช่ Frisk
Frisk ไม่ใช่มนุษย์คนแรกที่ตกลงมา |
ที่ผมรู้ว่าตัวละครที่เราเล่นอยู่ชื่อ Frisk นั้น เพราะผมเผลอไปอ่านสปอยในส่วนนี้นั้นเองครับ (ยอมรับด้วยท่า OTL) ส่วนมนุษย์ที่ Asriel เห็นในภาพความทรงจำนั้นชื่อ Chara มนุษย์ที่ตกลงมาเป็นคนแรก ซึ่งเป็นตัวละครที่เราเห็นในฉากเริ่มเกม และให้เราตั้งชื่อก่อนเล่น คนที่เล่นโดยไม่รู้อะไรมาก่อนอาจจะเข้าใจผิดว่า Frisk คือ Chara ด้วยลักษณะการใส่เสื้อและทรงผมคล้ายกันจนหลอกตาเราไปหลายคนเลยก็ว่าได้... ถึงตรงนี้แล้วผมอิจฉาคนที่เล่น Blind Play (เล่นแบบไม่รู้อะไรมาก่อน) จริงๆ
ซึ่งตามในสปอยได้เห็นชัดเจนว่า Frisk ไม่ใช่มนุษย์คนแรกที่ตกลงมา (แต่ตกลงมาเป็นคนที่ 8) และ Chara ก็ไม่ใช่ตัวละครที่เราบังคับ ในช่วงที่ผมเผลออ่านก่อนแล่นก็รู้สึกแปลกๆ เช่นกัน และเข้าใจผิดว่าตัวละครที่เราบังคับและให้ตั้งชื่อคือ Chara (ก็คือเข้าใจผิดว่า Frisk เป็น Chara) ซึ่งในเกมนั้น และ Asriel ก็เข้าใจผิดเช่นกัน โดยจะเรียกตามชื่อที่เราตั้งไว้...
Asriel เริ่มร้องไห้ |
จากการที่เราให้ Frisk ช่วยรื้อฟื้นความทรงจำนั้นขึ้นมา Asriel เริ่มร้องไห้... และการโจมตีก็แผ่เบาลง Asriel ยังคงคิดว่าเราเป็น Chara มนุษย์คนแรกที่จากเขาไป และยังมีความรู้สึกหนึ่งที่ขาดหายไปกลับคืนมา
ในคำสั่ง SAVE จะเหลือเหลื่อเพียงชื่อของ Asriel ซึ่งเราจะได้พูดคุยกับ Asriel ไปเรื่อยๆ เขาจึงสารภาพกับ Chara ว่า ที่เขาอยากจะสู้กันตรงนี้ เพราะ Chara คือคนวิเศษที่เข้าใจในตัวเขาทุกอย่าง และเป็นเพื่อนเล่นที่ดีกับเขาได้ ซึ่งเขาเป็นห่วง Chara มาก อยากเล่นอยู่ด้วยกันไปตลอด
ไม่พร้อมที่จะจากลากับเรา |
ตอนแรกผมก็เอะใจ กับการที่ Asriel เรียกชื่อเราอยู่ตลอด ทำให้ผมรู้สึกได้ว่า Asriel ก็ไม่อยากจะปล่อยเราไปไหนเช่นกัน ยิ่งสนทนาเรื่อยๆ Asriel บอกยังไม่พร้อมที่จะจากไปไหน...
ทันใดนั้น Asriel ฮึดสู้ เพื่อที่จะให้เรายอมแพ้และจะได้เล่นด้วยกันอีกครั้ง!?
"หยุดนะ อย่าทำแบบนี้ ปล่อยให้ฉันชนะเถิด!!"
"หยุดเดี๋ยวนี้!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!"
"อย่าจากฉันไป!! ขอร้อง!! ฉันอยากจะเล่นกับเธออีก!!" |
Asriel ปล่อยพลังเต็มแรงหวังทีจะฆ่าให้ตาย ซึ่งเป็นพลังที่เราไม่สามรถหลบออกจากพื้นที่ต่อสู้ได้ แต่ทว่า HP ของเราถูกลดเป็นเลขทศนิยม จาก 1 กลายเป็น 0.9, 0.5, 0.1, 0.01 ตามลำดับ Asriel ปล่อยพลังทำลายแรงขึ้น จนปุ่มคำสั่งกระจุยกระจาย แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรเราได้ HP เหลืออยู่ที่ 0.0000000001 ทำให้ผมตะลึงและถึงบางอ้อเลยว่า เลขทศนิยมแปลกๆ ที่เห็นใน Wikia คืออะไร
เพราะเราไม่คิดที่จะสู้กับใคร Asriel จึงสู้กับเราไม่ได้ |
นั่นทำให้ผมรู้สึกได้ว่าตัวเกมรับรู้แล้ว ต่อให้เราตายกี่รอบ เราก็จะฟื้นขึ้นมาเล่นให้ชนะ ตัวเกมจึงไม่ให้เราตาย Asriel ทำอะไรเราไม่ได้อีกเลย พลังแห่ง Determination ที่จะไม่ฆ่าใครเลยนั้น ส่งผลให้ไม่มีใครฆ่าเราได้...
ในจุดนี้เราก็แค่ Save Asriel อย่างเดียว ส่วน Asriel ทำได้แค่ร้องไห้ในความเหงา และอ้างว้าง ร่างของเขาค่อยๆ จางมืดลงไป จนเราออกจากฉากต่อสู้...
ผู้ที่พ่ายแพ้ต่อพลังแห่งความรักและความเมตตา
"ฉันขอโทษ..." (เสียงร้องไห้สะอื้น) |
Asirel ร้องไห้ขอโทษเราด้วยเสียงสะอื้นไปพักใหญ่ ก่อนที่จะมองหน้า Frisk อีกครั้ง เขาเริ่มรู้แล้วว่า คนที่อยู่ตรงหน้า ไม่ใช่ Chara เพื่อนสนิทที่จากหน้ากันไปนานแล้ว ชื่อ Frisk ก็ปรากฎในฉากนี้เป็นฉากแรก ทำให้ผมรู้แล้วว่าทำไมคนนี้ถึงชื่อ Frisk
ชื่อ Frisk ปรากฎขึ้นเป็นครั้งแรก |
จะว่าไป ทั้งๆ ที่ผมเผลออ่านสปอยเกี่ยวกับชื่อของ Frisk ผมเองก็ยังเข้าใจผิดเลยว่า Asriel กำลังพูดถึงเราอยู่ตลอด ตัวเกมหลอกให้เราเข้าใจผิดมาตลอด ว่าเมนูสถานะค่าพลังนั้นเป็นของ Frisk แต่จริงๆ เป็นของเราต่างหาก...? แต่ผลจากการอ่านสปอย ทำให้ผมคิดมาตลอดว่าถึงอย่างไร Frisk ก็คือ Frisk อยู่วันยังค่ำ... บางทีวรรคนี้อาจจะงงๆ สักหน่อย ผมขอกลับไปที่การเล่าเรื่องไปก่อนนะครับ
Asriel เริ่มสารภาพกับ Frisk ว่า ไม่ได้มีความรู้สึกแบบนี้มานานแล้ว ตั้งแต่เขาเป็นดอกไม้ที่ไร้จิตวิญญาณ (Souless) นั้น เขาไม่สามารถรับรู้ถึงความรักและความเมตตาได้
Asirel รู้สึกผิดในการกระทำของตัวเอง |
พอได้ดูดวิญญาณของทุกคน จึงทำให้กลับมามีความรู้สึกนี้ได้อีกครั้ง และยังรับรู้ถึงสภาพจิตใจของสัตว์ประหลาดทั้งหมดในโลกใต้ภิภพ และรับรู้ว่า ทุกๆ คนรักและเป็นห่วงในตัว Frisk คนนี้ Asiel จึงรู้สึกผิดมากยิ่งขึ้น เพราะตลอดที่ผ่านมา เขาใช้ความเป็น สิ่งหยาบคายต่อคนไทย ทำในสิ่งที่เลวร้ายต่อคุกคน ทำให้ทุกคนเกลียดชังเขา และใช้ความรุนแรงแบไม่ยั้งคิด และขอว่าไม่ต้องยกโทษให้ก็ได้ เพราะรู้ดีว่า ความยอมรับในความชั่วร้ายในการเป็นสิ่งหยาบคายนั้น ไม่เพียงพอที่จะไถ่โทษ และไม่สามารถทำให้ทุกคนให้อภัยได้...
เราจะยกโทษให้ Asriel หรือไม่? |
แล้วเกมจะให้เรายกโทษให้ Asriel หรือไม่? ตอนนั้นผมกอดอกคิดไปสักพัก... ทบทวนทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา ในใจของผมนั้นเกลียด Flowey มาก แต่ไม่เคยคิดที่จะเกลียด Asriel
ผมนึกย้อนไปถึงเรื่องเล่าใน Neutral Route และสิ่งที่รับรู้ใน True Laboratory (บันทึกที่ 8 กับ 18 กับ บันทึกเทป VHS) ที่ได้ระบุว่า Chara ใช้แผนฆ่าตัวเองตาย เพื่อรวมวิญญาณกับ Asriel หวังที่จะทำลายคนในหมู่บ้าน แต่ Asriel ต้านพลังไว้ ปล่อยให้ถูกโจมตี จนกลับมาตายในโลกใต้ภิภพ
และ Dr.Alphys ทดลองการใช้ Determination ฉีดเข้าไปในสิ่งหยาบคายในสวน โดยไม่รู้ว่านั่นเป็นที่ตายของ Asriel ทำให้ Asriel ฟื้นขึ้นมาเป็น Flowey ที่ไร้จิตวิญญาณ (อันนี้ผมเข้าใจใน Alphys เหมือนกัน) เรื่องราวทั้งหมดผมจึงรับรู้ได้ว่า ครั้งที่ Asriel ยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังคงเป็นคนที่มีจิตใจดีเช่นกัน แต่เป็นคนที่พยายามตามใจ Chara มาตลอดแม้จะคิดว่าไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง
และการตามใจ Chara มากเกินไปจนเสียร่าง เสียความเป็นตัวตน เสียความรู้สึกของชีวิต สูญเสียแม้กระทั้งความรักความเมตตา ทำให้ผมรู้สึกสงสาร Asriel ที่ต้องตายแล้วกลับมาเกิดเป็นสิ่งหยาบคายและทำตัวให้สมกับสิ่งหยาบคายได้เช่นนั้น... ผมจึง "ยกโทษ" ให้กับ Asriel ครับ
Asriel รับรู้ถึงความรู้สึกทุกอย่าง |
อีกเหตุผลหนึ่งคือ ผมได้ตัดความเป็น Flowey ออกไปจากตัว Asriel แล้ว และเป็นเพราะ Flowey คือ Asriel ความรังเกียจต่อ Flowey ก็หายไปด้วย...
เมื่อเรากับ Frisk ร่วมมือกันไม่ถือโทษ Asriel รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะร้องไห้อีกครั้ง เขาเริ่มรับรู้สึกถึงความความฝันและความหวัง (Hopes and Dreams) Asriel จึงตัดสินใจใช้ดวงวิญญาณเหล่านั้นทำสิ่งนี้เพื่อเป็นการไถ่โทษตัวเอง
พลังสุดท้ายก่อนปลดปล่อยดวงวิญญาณ |
เพราะไม่มีวิญญาณ Asriel จึงคงสภาพนี้ไม่ได้ |
เกราะกำบังที่กักขังเหล่าสัตว์ประหลาดถูกทำลายลงแล้ว! แต่การที่ Asriel ปล่อยดวงวิญญาณทั้งหมด และไม่มีวิญญาณประจำตัว ทำให้ Asriel รู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังจะไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกรักและเมตตาอีกครั้ง อีกทั้งยังไม่สามารถคงสภาพในร่างนี้ และจะต้องกลับกลายไปเป็นดอกไม้อีกครั้ง
Asriel จึงขอให้ Frisk ลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวเขาให้หมด และให้กลับไปอยู่กับคนที่รัก Frisk จริงๆ
แล้วเกมจะถามเราว่าจะให้ Frisk ไปปลอบประโลม Asriel หรือไม่? ผมกดทันทีว่า "ใช่" โดยไม่ลังเล Frisk จึงเดินเข้าไปกอด Asriel แน่น
"ฉันไม่อยากปล่อยอ้อมกอดนี้เลย" |
"Frisk ฝากดูแลพ่อแม่ด้วยนะ" |
Frisk, ตื่นเถอะ! นี่เป็นแค่ฝันร้าย
Frisk ตื่นท่ามกลางเพื่อนๆ รายล้อม |
"เธอสามารถไปบอกลาเพื่อนๆ เป็นการส่งท้ายได้นะ" |
จากนี้ เกมจะให้เราบังคับ Frisk ได้อีกครั้ง และผมกลับไป Save เกมก่อน... ซึ่งครั้งแรกที่ผมเล่นนั้น ผมไม่ได้คุยอะไรมากมาย ผมข้ามไปดูฉากจบเพื่อปิดเกม และเข้านอนครับ
แต่ตอนจบของ True Pacifist Route นั้น ไม่ได้มีเพียงแค่นี้! เพราะยังมีอะไรบางอย่างที่ซุกซ่อนไว้ ก่อนที่เราจะเข้าฉากจบเกมที่แท้จริง ถ้าเขียนต่อจากนี้ จะทำให้บทความยาวมากขึ้น ผมจึงขอตัดจบบทความไว้ก่อน แล้วบทความหน้า จะเป็นบทสรุปเส้นทางแห่ง True Pacifist Route วิถี Undertale ที่จบด้วยความเป็นสันติสุขครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น